Search

ล็อกดาวน์ดันค่าไฟฟ้าพุ่ง หนุนบ้าน Smart Home อสังหาฯ ชูโซลาร์ รูฟท็อปลดค่าไฟระยะยาว - ผู้จัดการออนไลน์



นับตั้งแต่เกิดเหตุการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา วิถีชีวิตของคนไทยก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าการต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน การต้องใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้นเพื่อลดภาวะความเสี่ยงในการติดเชื้อ และที่สำคัญ คือ การต้องทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ซึ่งนั่นทำให้คนไทยต้องการพื้นที่ในการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นกระแสให้กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะกลุ่มบ้านกระแสของ Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะที่จะช่วยให้ใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น และหนึ่งในความ Smart Home นั่นคือบ้านประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งปรับตัวสูงขึ้นหลังผู้บริโภคต้องทำงานจากที่บ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ และขอความร่วมมือจากบริษัทเอกชนให้พนักงานทำงานอยู่ที่บ้านมากที่สุด และล่าสุด ยังมีการประกาศยืดระยะเวลาการล็อกดาวน์เพิ่มอีก 14 วัน ซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงปกติ

“นอกจากประชาชนทั่วไปจะ Work From Home แล้วการล็อกดาวน์ในครั้งนี้ เด็กยังต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์จากที่บ้าน ทำให้สมาชิกคนทุกคนในครอบครัวต้องใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น และแน่นอนค่าใช้จ่ายจากไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 1-2 เท่าตัว ซึ่งนั่นจะมีผลต่อรายได้ภายในครอบครัว”

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กระแสบ้านลดพลังงานแรงยิ่งขึ้น เป็นที่นิยมมากขึ้น และทำให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านและที่อยู่อาศัย หรือที่เราเรียกว่า โซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับความต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือนนั้นมีมาก่อนหน้าที่กระแส Work From Home และการล็อกดาวน์ และการกักตัวอยู่กับบ้าน แต่เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้เราต้องใช้ไฟอยู่กับบ้านมากขึ้น ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายมากขึ้น จากที่ไม่เคยใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันเลยก็ต้องใช้มากขึ้น การติดตั้งโซลาร์เซลล์จึงเป็นวิถีใหม่ ซึ่งช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าในระยะยาว และยังลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมๆ กัน


สำหรับ เทรนด์การใช้โซลาร์รูฟท็อปนั้น ก่อนหน้าอาจจะมีแค่บ้านส่วนตัวเพราะมีต้นทุนที่สูง แต่ปัจจุบันต้นทุนลดลงมาพร้อมๆ กับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ทำให้บริษัทอสังหาฯ หันมาให้ความสำคัญในส่วนของหลังคาโซลาร์ ซึ่งเป็นอีกเทรนด์ที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ เริ่มนำมาเป็นจุดขายโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มบ้านจัดสรร “บริษัท เสนา ดีเวลลอดเม้นท์ จำกัด (มหาชน)” คือตัวอย่างที่ชัดเจน ซึ่งมีการขายบ้านแถมติดตั้งแผงโซลาร์ รูฟ ฟรี โดย เสนาฯ กลายเป็นอสังหาฯ รายแรกที่จริงจังในเรื่องโซลาร์รูฟท็อป หลังเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท เอท โซลาร์ จำกัด หรือ WE Solar เดิม

โดยหลังการ่วมทุนเสนาฯ ได้ชูโซลาร์ รูฟท็อป เป็นหนึ่งในจุดขาย ด้วยการนำติดโซลาร์รูฟ บนหลังคาให้ลูกค้าโดยราคาขายบ้านที่ติดโซลาร์ รูฟ จะเป็นราคาปกติเหมือนบ้านหลังอื่นๆ โดยโซลาร์รูฟที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาอีกนัยหนึ่งคล้ายเป็นการโปรโมชัน เช่น ถ้าลูกค้าไม่เลือกโปรของแถม ก็อาจเลือกติดโซลาร์รูฟหรือถ้าไม่เลือกทั้งของแถมและโซลาร์ รูฟ จะเปลี่ยนเป็นส่วนลดเงินสดก็ได้

นอกจากเสนาฯ แล้ว ก่อนหน้านี้ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกค่ายที่ศึกษาวิจัยโซลาร์รูฟท็อป โดยเริ่มลงทุนในโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น “ซิกเนเจอร์ รามอินทรา” ซึ่งปริญสิริฯ รับผิดชอบลงทุนติดตั้ง บำรุงรักษาแผงโซลาร์บนหลังคาทาวน์โฮมในโครงการ และทำสัญญาเช่าหลังคากับลูกบ้าน โดยจ่ายเป็นค่าส่วนกลางให้นิติบุคคลโดยตรง ซึ่งวิธีนี้นอกจากช่วยให้ลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง แถมยังแก้ปัญหาการค้างชำระค่าส่วนกลางไปในตัว


ขณะที่ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นอีกค่ายอสังหาฯ ที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อบ โดยได้แนะนำให้ลูกค้าลงทุนติดตั้งโซลาร์ รูฟเองเพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งเป็นการร่วมมือกันกับ SPCG และโฮมโปร โดย SPCG เป็นเจ้าของสินค้าและเป็นผู้ติดตั้ง โดยโฮมโปรเป็นผู้จัดจำหน่ายและบริการหลังการขายให้ โดยเน้นที่โครงการบ้านเดี่ยวระดับปานกลาง และนอกจากโครงการใหม่ๆ ปีละกว่า 1,500 หลังแล้ว ยังมีเป้าหมายที่จะแนะนำการติดตั้งโซลาร์รูฟ ท็อปให้ลูกค้าเก่าประมาณ 1 หมื่นหลัง

ขณะที่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ก็เป็นอีกรายที่เลือกใช้พลังงานทางเลือก ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยนำแผงโซลาร์เซลล์มาติดตั้งในส่วนกลางของโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทฯ เพื่อช่วยลูกค้าประหยัดค่าไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลาง โดยพฤกษาได้เริ่มทยอยติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มาแล้วตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งหมดราว 100 โครงการ

ล่าสุด บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) คือ บริษัทอสังหาฯ ที่ประกาศร่วมทุนกับบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานทดแทนแบบครบวงจรและธุรกิจระบบไฟฟ้า เตรียมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “ออริจิ้น กันกุล เอ็นเนอร์ยี จำกัด” เพื่อร่วมกันดำเนินกิจการด้านพลังงานทดแทน/พลังงานสะอาดในโครงการที่อยู่อาศัย สอดรับเมกะเทรนด์ของโลก ในสัดส่วน 50:50 ซึ่งเตรียมพัฒนาต่อยอดสู่โครงการที่อยู่อาศัยในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เป็นครั้งแรก

พีระพงศ์ จรูญเอก
โดย นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ทิศทางของโลกในอนาคตจะหันมาใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ในเซ็กเตอร์อสังหาฯ ไทยเอง ขณะนี้ยังไม่มีใครที่ลุกขึ้นมาขานรับเมกะเทรนด์นี้เพื่อผู้บริโภคอย่างจริงจัง เราจึงมองหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งด้านพลังงานสะอาด และมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกันอย่าง กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง เพื่อก้าวเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ เพื่อต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในที่อยู่อาศัย ให้สอดรับเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ทรัพย์สินในอนาคต ควบคู่กับการมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวแก่ลูกบ้าน

ทั้งนี้ ออริจิ้นฯ และกันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จะร่วมดำเนินกิจการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Private PPA (Power Purchase Agreement) โดยจะติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปพร้อมอุปกรณ์ และบริการดูแลรักษาตลอดสัญญา เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจำหน่ายภายในพื้นที่ส่วนกลางโครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จ ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าจากระบบดังกล่าวจะมีราคาถูกกว่าอัตราค่าไฟฟ้าทั่วไป ช่วยลดภาระค่าสาธารณูปโภคส่วนกลางในแต่ละโครงการ นำร่องติดตั้งและให้บริการในไตรมาส 3/2564 นี้

2.ธุรกิจติดตั้งและเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (PARITY) ในกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร ด้วยการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปพร้อมวางระบบเชื่อมต่อทั่วทั้งโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านสามารถประมูลซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างกันได้ (Peer-to-peer Energy Trading) ในราคาที่ถูกกว่าอัตราค่าไฟฟ้าทั่วไป ทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าให้พลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่อาจเหลือทิ้งกลับกลายเป็นรายได้สู่ลูกบ้าน และ 3.ธุรกิจติดตั้งและบริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger Station) สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งเบื้องต้น กำลังอยู่ระหว่างการวางแผนการดำเนินงานร่วมกัน


ขณะที่เสนาฯ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เซลล์เป็นรายแรก โดยดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับภาครัฐที่มีการออกนโยบายมาสนับสนุนเรื่องโซลาร์เซลล์ภาคประชาชน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ลูกบ้านได้มีโอกาสสร้างรายได้จากการขายไฟนั้น หากมองในมุมของธุรกิจที่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้นั้นต้องพิจารณาถึงตลาด “ผู้ซื้อ” (Demand) และ “ผู้ขาย” (Supply) ส่วนกลไกตลาดก็คือ “ราคา”

แต่เนื่องจากวันนี้กลไกของแบตเตอรี่ยังไม่เข้ามา แสดงว่าการซื้อโซลาร์มาแบบ Business License ยังไม่คุ้ม เพราะถ้ากลางวันเราอยู่บ้านไม่ครบจำนวนชั่วโมงที่โซลาร์ผลิตไฟได้ กลายเป็นว่าก็จะสูญเปล่า ดังนั้น ถ้าในอนาคตแบตเตอรี่มา ส่วนไฟที่ผลิตแล้วไม่ได้ใช้ในช่วงกลางวันจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ กลางคืนเราก็นำมาใช้ต่อได้ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้ราคาที่ทำให้ Demand และ Supply สามารถจับต้องได้ คืออยู่ในราคาที่ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของค่าไฟมันต่ำกว่าค่าไฟที่ซื้อจากรัฐ รัฐแค่ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานก็ไม่ต้องจัดการอะไรเลย แต่วันนี้กลไกตลาดยังไม่ทำงาน

เพราะไม่มีแบตเตอรี่ที่สามารถกักเก็บพลังงานไว้ได้ หรือถ้ามีราคาก็ยังแพงมาก ไม่คุ้มกับราคาค่าไฟที่ต้องจ่าย แสดงว่ากลไกตลาดยังไม่ทำงาน ถามย้อนกลับไปว่าวันนี้รัฐต้องทำยังไง ในเมื่อรัฐเห็นอยู่ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ทำอยู่วันนี้ไม่ใช่แค่ช่วยทำให้ประชาชนขายโซลาร์ได้ แต่มันคือการช่วยเรื่อง Climate Change รัฐต้องทำให้โซลาร์เกิด ก็เพราะช่วยเรื่อง Climate Change แล้วการจะช่วยให้เกิดได้นั้น ไม่ใช่การปั๊มหรือผลิตเอง แต่วิธีการคือ ทำตัวเองเป็น Player ในตลาดช่วงแรกจนกลไกตลาดทำงานได้เองแล้วค่อยถอยออกมา

การเข้าไปช่วยให้กลไกตลาดทำงาน เพราะฉะนั้นช่วงแรกที่เคยออกมารับซื้อไฟในราคา 1.68 บาท ราคารับซื้อน้อยไป และไม่ใช่ราคาที่จะทำให้ Demand เจอกับ Supply แล้วสนใจมากนัก ซึ่งในปีนี้เพิ่มการรับซื้อเป็น 2.20 บาทก็ดีขึ้น แต่มองว่าอย่างน้อยต้องเป็นคนที่อยู่บ้านบ้าง ถ้าไม่อยู่เลยก็ไม่คุ้ม เพราะค่าไฟ 4 บาท ผลิตเองแล้วเราขาย 2 บาท ต้นทุนโซลาร์จริงๆ แล้ว ต่อหน่วยก็ตกประมาณ 4 บาทกว่า

ที่ผ่านมา ทางเสนาฯ ยื่นเรื่องขอเข้าร่วมกับภาครัฐ โดยเราทำแผนผลักดันลูกบ้านเข้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ในปีนี้นำเข้า 7 โครงการ หรือประมาณ 237 หลัง ที่กำลังยื่นสิทธิขายไฟฟ้าจากส่วนเกินของภาคประชาชนเข้าสู่ระบบของรัฐ ได้แก่ เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา-วงแหวน เสนาวิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 (ศาลายา) เสนาแกรนด์ โฮม รังสิต-ติวานนท์ เสนาช็อปเฮ้าส์ พหลโยธิน-คูคต เสนาช็อปเฮ้าส์ บางแค เฟส 1 และ เฟส 2


ดร.เกษรา กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัท เอท โซลาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเสนาฯ ในปี 2564 ยังมุ่งเน้นขยายธุรกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา โดยมีเป้าหมายการเติบโตรายได้เฉลี่ยปีละ 10% ซึ่งปีนี้วางกำลังผลิตติดตั้งรวมไม่ต่ำกว่า 5 เมกะวัตต์ โดยเน้นการติดตั้งที่มีคุณภาพและคัดเลือกโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ครอบคลุมทั้งโครงการบ้านของเสนา จำนวน 150 หลังคาเรือน และภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าในสถานีบริการน้ำมัน และโรงงานอุตสาหกรรม ฯงและพร้อมสำหรับธุรกิจการให้คำปรึกษาและบำรุง รักษาทำความสะอาด ระบบโซลาร์ในโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้สูงสุด

ปัจจุบัน เสนาฯ มี 3 แนวทางสำหรับโซลาร์ รูฟในบ้านจัดสรร คือ 1.สร้างบ้านที่ติดโซลาร์ รูฟ เพื่อจำหน่าย 2.เจรจากับลูกค้าเดิมของบริษัทฯ เพื่อติดโซลาร์ รูฟ โดยจะเป็นลักษณะการขายแผงติดตั้งให้ลูกค้า พร้อมการดูแลรักษา 3.ขอเช่าพื้นที่หลังคาบ้านของลูกค้าเพื่อติดโซลาร์ รูฟ โดยลูกค้าได้ผลตอบแทนเป็นค่าเช่า

“ในช่วงต้นบริษัทฯ ต้องการทำโมเดลแรกเป็นหลัก นั่นคือสร้างบ้านที่ติดตั้งโซลาร์ รูฟ และขายขาดให้ลูกค้า โดยลูกค้าได้รับผลตอบแทนจากการขายไฟให้ภาครัฐ จากการคำนวณรายได้จากการขายไฟฟ้าที่ปัจจุบันที่ได้รับสิทธิขายไฟระยะเวลา 25 ปี รัฐรับซื้อ 6.85 บาทต่อหน่วย เฉลี่ยบ้านแต่ละหลังจะขายไฟได้ประมาณ 3,200 บาท/เดือน เทียบกับเงินลงทุนในส่วนของการติดตั้งแผงคาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 6 ปีครึ่ง”

นายสุธรรม โอฬารกิจอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีวางแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศพัฒนาการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เพื่อคุมต้นทุนติดตั้งทั้งระบบและได้เป็นพันธมิตรในการนำอุปกรณ์การแปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ หรืออินเวอร์เตอร์ ของบริษัท FIMER ซึ่งได้เข้าซื้อกิจการอินเวอร์เตอร์จาก ABB ประเทศอิตาลีมาให้บริการ

ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างศึกษาความคุ้มค่าการใช้ไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกบ้านที่ทำงานนอกบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้เกิดประโยชน์การใช้ไฟฟ้าได้สูงสุด ด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และช่วยรักษาความปลอดภัยมาติดตั้งเพื่อบริการให้ลูกบ้าน โดยจะมีการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาโซลูชันใหม่ๆ เพื่อโอกาสทางธุรกิจในอนาคต


“ธุรกิจโซลาร์เซลล์ของเสนาฯ ได้รับการตอบรับด้วยดี เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ประกอบกับขณะนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการทำงานอยู่บ้าน หรือ Work From Home เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การใช้ไฟในบ้านสูงและแนวโน้มดังกล่าวจะเป็น New Normal โซลาร์จึงเป็นคำตอบของยุคปัจจุบันและอนาคตและเพื่อตอบสนองของตลาดคนรุ่นใหม่ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการออกแบบแผงโซลาร์ให้มีความทันสมัยและให้เป็นองค์ประกอบของที่อยู่อาศัยให้มีความกลมกลืนและมีความสวยงาม แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้า”

โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินการติดตั้งโครงการบ้านเสนาฯ และที่อยู่อาศัยต่างๆ ไปแล้วกว่า 400 หลังคาเรือน รวมกำลังผลิตสำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1,000 กิโลวัตต์ รวมทั้ง ติดตั้งในสำนักงาน คลังสินค้า โรงงานขนาดใหญ่กว่า 50 แห่ง รวมกำลังผลิตกว่า 16,000 กิโลวัตต์ และยังมีโซลาร์ฟาร์มที่เสนาลงทุนอยู่ขนาด 46,500,000 กิโลวัตต์ รวมถึงบริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่จะเข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชนอีก 237 หลังคาเรือน


และเพื่อส่งต่อความสะดวกสบายให้ลูกบ้าน เสนาฯ ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “SENA 360” ซึ่งตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการใช้งานของลูกบ้านครบจบทุกมิติ และเซอร์วิส โดยได้นำ New Function เข้าไปใส่ไว้ในแอปพลิเคชัน ซึ่งช่วยให้ลูกบ้านสามารถมอนิเตอร์การใช้พลังงานสะอาด (Solar) เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีที่บ้านและส่วนกลางได้ด้วย และยังมีบริการด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลพระราม 9 ซึ่งสอดรับกับเทรนด์การออกแบบที่อยู่อาศัยในอนาคต ที่เน้นเรื่องการทประหยัดพลังงาน และให้ความสำคัญด้านสุขภาพ และความปลอดภัย

การล็อกดาวน์ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีกำหนดนานอีกแค่ไหน แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศว่าใช้เวลา 14 วัน แต่หากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายลง หรือมีสถานการณ์วิกฤตมากขึ้น โอกาสที่จะเพิ่มวันล็อกดาวน์ก็มีอยู่มาก และสถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งส่งผลต่อความต้องการใช้โซลาร์ รูฟท็อปให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งความต้องการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบ้านจัดสรร แต่ยังรวมถึงบ้านส่วนตัว และคอนโดมิเนียมใหม่ๆ อีกด้วย

Adblock test (Why?)

อ่านบทความและอื่น ๆ ( ล็อกดาวน์ดันค่าไฟฟ้าพุ่ง หนุนบ้าน Smart Home อสังหาฯ ชูโซลาร์ รูฟท็อปลดค่าไฟระยะยาว - ผู้จัดการออนไลน์ )
https://ift.tt/3zgjzJj
บ้านอัจฉริยะ

Bagikan Berita Ini

0 Response to "ล็อกดาวน์ดันค่าไฟฟ้าพุ่ง หนุนบ้าน Smart Home อสังหาฯ ชูโซลาร์ รูฟท็อปลดค่าไฟระยะยาว - ผู้จัดการออนไลน์"

Post a Comment

Powered by Blogger.